วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

ความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทาน มีประโยชน์อย่างไร

ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ (Elasticity of Demand)

            ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ (Elasticity of Demand) หมายถึง อัตราการเปลี่ยนแปลงความต้องการซื้อสินค้าต่ออัตราการเปลี่ยนแปลงปัจจัยต่างๆ ที่กำหนดอุปสงค์ เช่น ราคา รายได้ ราคาสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ความยืดหยุ่นของอุปสงค์มี 3 ชนิด ดังนี้

1. ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา (Price Elasticity of Demand)

 เป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการซื้อสินค้าเมื่อราคาสินค้าเปลี่ยนแปลง โดยวัดออกมาในรูปของร้อยละ

        ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา (Ed)    =     % การเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการซื้อ
                                                                                              % การเปลี่ยนแปลงของราคา

            โดยสูตรที่ใช้คำนวณหาค่าความหยือหยุ่นนั้นมี 2 ลักษณะ คือ

            ก. สูตรความยืดหยุ่นของอุปงค์แบบจุด (Point elasticity of Demand)


โดยที่ :  Ed        = ค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา
Q1         = ปริมาณความต้องการซื้อสินค้า ณ ระดับราคาเดิม
Q2         = ปริมาณความต้องการซื้อสินค้า ณ ระดับราคาใหม่
P1         = ราคาสินค้าเดิมก่อนมีการเปลี่ยนแปลง
P2         = ราคาสินค้าหลังการเปลี่ยนแปลง
ตัวอย่าง สินค้าราคา 20 บาท มีคนซื้อ 10 ชิ้น แต่ราคาลดลงเป็น 18 บาท คนจะซื้อเพิ่มเป็น 15 ชิ้น คึความหยือหยุ่นที่ A คือ





            ค่าความยืดหยุ่นที่ A = -5 หมายถึงว่า ถ้าราคาเปลี่ยนไป 1% ปริมาณซื้อจะเปลี่ยนไป 5% ส่วนเครื่องหมายเป็นลบเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณความต้องการซื้อมีทิศทางตรงกันข้าม ค่าความยืดหยุ่นจะพิจารณาเฉพาะตัวเลขเท่านั้น
            สำหรับค่าความหยือหยุ่นที่จุด B คือ


 จะเห็นว่าค่าความยืดหยุ่นที่จุด A = -5  ที่ B = -3 ได้ค่าไม่เท่ากันทั้งๆที่การเปลี่ยนแปลงของปริมาณการซื้อ และราคาที่มีค่าเท่ากัน เพียงแต่การใช้ราคาปริมาณเริ่มแรกที่แตกต่างกัน  ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาว่าจะใช้ค่าใดเป็นเริ่มแรก  การคำนวณค่าความยืดหยุ่นจึงมีอีกสูตรหนึ่ง คือ
ข. ค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์บนช่วงใดช่วงหนึ่งบนเส้นอุปสงค์ (Arc elasticity of  demand) คือ ช่วง AB
                        

 ซึ่งค่า -3.8 นี้ไม่ว่าจะใช้ราคาและปริมาณใดเป็นตัวเริ่มต้นก็ตามจะได้ค่าเท่ากับ -3.8 เสมอ


ลักษณะความยืดหยุ่นของอุปสงค์
            สามารถแบ่งลักษณะของอุปสงค์ตามระดับความยืดหยุ่นของอุปสงค์ได้ดังรูปที่ 3.1

ปัจจัยที่กำหนดค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์
                           ความยืดหยุ่นมาก (Elastic)                  ความยืดหยุ่นน้อย(Inelastic)
                        -  สินค้าที่มีของทดแทนได้มาก            -  สินค้าที่มีของทดแทนได้น้อย
                        -  สินค้าฟุ่มเฟือย                                   -  สินค้าจำเป็น
                        -  สินค้าคงทนถาวร                               -  สินค้าที่มีราคาเพียงเล็กน้อย

ความสัมพันธ์ระหว่างค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์กับรายรับรวมจากการขายสินค้า
          รายรับรวม (Total Revenue) คำนวณได้มาจากการคูณราคาด้วยปริมาณ หรือ
                                                               รายรับรวาม  =  ราคา x ปริมาณ
                                                                       TR        =     P  x    Q
           
ทั้งนี้ รายรับรวม อาจจะเพิ่มขึ้น หรือลดลงหรือคงที่ ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงปัจจัยที่กำหนดปริมาณซื้อที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาณมากน้อยเพียงใด หรือขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นของอุปสงค์ อย่างไรก็ดี ในเชิงทฤษฏีอาจสร้างตารางความสัมพันธ์ระหว่างความหยืดหยุ่นกับรายได้และราคาสินค้าดังตารางต่อไปนี้

ตารางที่ 1 ตารางความยืดหยุ่นและรายรับรวมในกรณีลด - เพิ่มราคาสินค้า
ความยืดหยุ่นมาก (Elastic)
ความยืดหยุ่นคงที่(Unitary)
ความยืดหยุ่นน้อย(Inelastic)
P x Q
TR
P x Q
TR
P x Q
TR
  ก. ราคาสินค้าลดลง





10 x 1,000
10,000
10 x1,000
10,000
10 x 1,000
10,000
9 x 2,000
18,000
9 x 1,111
10,000
9 x 1,050
9,450
8 x 3,000
24,000
8 x 1,250
10,000
8 x 1,100
8,800
ข. ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น





8 x 3,000
24,000
8 x 1,250
10,000
8 x 1,100
8,800
9 x 2,000
18,000
9 x 1,111
10,000
9 x 1,050
9,450
10 x 1,000
10,000
10 x 1,000
10,000
10 x 1,000
10,000
         
             จากตารางแสดงความสัมพันธ์ของความยืดหยุ่นรายรับรวมและราคาจะสังเกตเห็นว่าถ้าราคาเปลี่ยนแปลงจะมีผลต่อ (1) ปริมาณซื้อและ (2) รายรับทั้งหมด จากความสัมพันธ์นี้เราจะนำไปใช้ในการวางแผนการตลาดของสินค้าที่จะนำออกขายในท้องตลาด  ทฤษฏีอุปสงค์ทั้งหมดที่ศึกษาก็เพื่อจะขจัดปัญหาความไม่แน่นอนในธุรกิจ  อีกนัยหนึ่ง เพื่อให้ได้กำไรสูงสุดผู้ขายทุกคนควรที่จะต้องทราบลักษณะของความยืดหยุ่นของอุปสงค์ เพื่อกำหนดนโยบายราคาและพยากรณ์รายได้ของผู้ขาย  อันเป็นการนำมาซึ่งกำไรสูงสุดของผู้ประกอบการ จากหลักทฤษฏีเศรษฐศาสคร์ จึงอาจสรุปความสัมพันธ์ระหว่างความยืดหยุ่นของราคากับรายรับได้ดังต่อไปนี้

ความสัมพันธ์ระหว่างความหยืดหยุ่นของอุปสงค์กับรายได้จากการขาย
ราคาสินค้า
Ed > 1
Ed = 1
Ed < 1
เพิ่ม
TR ลด
TR คงเดิม
TR เพิ่ม
ลด
TR เพิ่ม
TR คงเดิม
TR ลด


2. ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้ (Income Elasticity of Demand)

            อุปสงค์ต่อรายได้ หมายถึง จำนวนต่างๆ ของสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการเสนอซื้อ ณ ระดับรายได้ต่างๆ ภายในระยะเวลาหนึ่ง  โดยกำหนดให้ปัจจัยอื่นๆ คงที่

            ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้ (Income Elasticity of demand) หมายถึง การวัดอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการซื้อสินค้าเมื่อรายได้เปลี่ยนแปลง

       ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้ (Ey)     =     % การเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการซื้อ
                                                                                                % การเปลี่ยนแปลงของรายได้

                        ก. สูตรความยืดหยุ่นอุปสงค์ต่อรายได้แบบจุด
                                              


โดยที่ :  Ey       = ค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้
Q1                = ปริมาณความต้องการซื้อสินค้า ณ ระดับรายได้เดิม
Q2         = ปริมาณความต้องการซื้อสินค้า ณ ระดับรายได้ใหม่
Y1                  = ระดับรายได้เดิมก่อนการเปลี่ยนแปลง
Y2                  = ระดับรายได้หลังการเปลี่ยนแปลง
                        ข. สูตรความยืดหยุ่นอุปสงค์ต่อรายได้แบบช่วง
                                    


            ถ้าค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้มีเครื่องหมายเป็นบวกแสดงว่าเป็นสินค้าปกติ (Normal Goods) หรือสินค้าฟุ่มเฟือย (Superior Goods) และถ้ามีเครื่องหมายเป็นลบแสดงว่าเป็นสินค้าด้อยคุณภาพ (Inferior Goods) เพราะเมื่อผู้บริโภคมีรายได้เพิ่มขึ้นจะซื้อสินค้าชนิดนั้นลดลง
3. ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ไขว้ (Cross - Price Elasticity of Demand)
            อุปสงค์ไขว้ หมายถึง ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าชนิดหนึ่ง ณ ระดับราคาต่างๆ พิจารณาต่อสินค้าอีกชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องภายในระยะเวลาหนึ่ง โดยกำหนดให้ปัจจัยอื่นๆ คงที่
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ไขว้ (Cross - Price Elasticity of Demand) หมายถึง การวัดอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการซื้อสินค้าเมื่อราคาสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้องเปลี่ยนแปลง
สินค้าที่เกี่ยวข้องกันแบ่งได้ 2 ชนิด ดังนี้
            สินค้าที่ใช้ประกอบกัน (Complementary Goods) เป็นสินค้าที่ในการอุปโภคบริโภคต้องใช้ร่วมกัน ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะไม่สามารถบริโภคได้ เช่น รถยนต์และน้ำมัน เป็นต้น ความสัมพันธ์ของสินค้าที่ต้องใช้ประกอบกันจะมีทิศทางตรงกันข้ามหรือเป็น -
            สินค้าทดแทนกัน (Substitute Goods) เป็นสินค้าที่ในการอุปโภคบริโภค ถ้าหาสินค้าชนิดหนึ่งไม่ได้สามารถใช้สินค้าอีกชนิดหนึ่งทดแทนได้ เช่น เนื้อหมูกับเนื้อไก่ เป็นต้น ความสัมพันธ์ของสินค้าที่ใช้ทดแทนกันได้จะมีทิศทางเดียวกันหรือเป็น +

                      ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ไขว้ (Ec)      =     %การเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการซื้อสินค้า A        
                                                                                                         % การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้า B
                        ก. สูตรความยืดหยุ่นอุปสงค์ไขว้แบบจุด
                                  


โดยที่ : Ec        = ค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ไขว้
QA1       = ปริมาณความต้องการซื้อสินค้า A ณ ระดับราคาสินค้า B ก่อนการเปลี่ยนแปลง
QA2             = ปริมาณความต้องการซื้อสินค้า A ณ ระดับราคาสินค้า B หลังการเปลี่ยนแปลง
PB1        = ราคาสินค้า B ก่อนการเปลี่ยนแปลง
PB2        = ราคาสินค้า B หลังการเปลี่ยนแปลง

                        ข. สูตรความยืดหยุ่นอุปสงค์ไขว้แบบช่วง


ถ้าคำนวณได้ค่าเป็นบวก ( + ) แสดงถึง เป็นสินค้าที่ใช้ทดแทนกัน และถ้าคำนวณได้ค่าเป็นลบ ( - )แสดงถึง เป็นสินค้าที่ใช้ประกอบกัน
ความยืดหยุ่นของอุปทาน (Elasticity of Supply)
            ความยืดหยุ่นของอุปทาน (Elasticity of Supply) หมายถึง เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการขายสินค้าต่อเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงราคาสินค้า ค่าความยืดหยุ่นที่คำนวณได้จะมีเครื่องหมายเป็นบวกเนื่องจากราคาและปริมาณความต้องการขายมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน การคำนวณค่าความยืดหยุ่นของอุปทานทำได้ดังนี้
ความยืดหยุ่นของอุปทานต่อราคา (Es)     =       % การเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการขาย        
                                                                                                         % การเปลี่ยนแปลงของราคา
                         ก. สูตรความยืดหยุ่นของอุปทานแบบจุด (Point elasticity of Demand)

โดยที่ :  Es       = ค่าความยืดหยุ่นของอุปทานต่อราคา
Q1         = ปริมาณความต้องการขาย ณ ระดับราคาเดิม
Q2         = ปริมาณความต้องการขาย ณ ระดับราคาใหม่
P1         = ราคาสินค้าเดิมก่อนการเปลี่ยนแปลง
P2         = ราคาสินค้าหลังการเปลี่ยนแปลง

            ข ค่าความยืดหยุ่นของอุปทานแบบช่วง
                     
ลักษณะความยืดหยุ่นของอุปทาน
            สามารถแบ่งลักษณะของอุปทานตามระดับความยืดหยุ่นของอุปทานได้ดังรูปที่ 3.2

ปัจจัยที่กำหนดค่าความยืดหยุ่นของอุปทาน
            ความยากง่ายและเวลาที่ใช้ในการผลิต สินค้าที่สามารถผลิตได้ง่ายและใช้เวลาในการผลิตสั้นอุปทานของสินค้ามีค่าความยืดหยุ่นสูง
            ปริมาณสินค้าคงคลัง สินค้าที่มีสินค้าคงคลังสำรองมาก อุปทานของสินค้าจะมีความยืดหยุ่นสูง
            ความหายากของปัจจัยการผลิต ถ้าปัจจัยที่ใช้ในการผลิตสินค้ามีจำนวนจำกัดและหายาก ต้องใช้เวลาในการหาปัจจัยการผลิตนาน อุปทานของสินค้าชนิดนั้นจะมีความยืดหยุ่นต่ำ
            ระยะเวลา ถ้าระยะเวลานานความยืดหยุ่นของอุปทานจะมากเพราะผู้ผลิตสามารถเปลี่ยนแปลงการใช้ปัจจัยการผลิตได้ทุกชนิด แม้แต่เทคโนโลยีและเครื่องมือเครื่องจักรต่างๆ


ประโยชน์ของค่าความหยืดหยุ่นของอุปสงค์
1.    ในการวางนโยบายหรือมาตรการของรัฐ เช่น การจัดเก็บภาษีจากสินค้า รัฐจะต้องรู้ว่าสินค้านั้นมีความ
หยืดหยุ่นเท่าไร เพื่อจะได้ทราบว่าภาระภาษีจะตกไปบุคคลกลุ่มใด
2.    ช่วยให้หน่วยุรกิจสามารถดำเนินกลยุทธทางด้านราคาได้อย่างถูกต้องว่าสินค้าชนิดใดควรตั้งราคาสินค้า
ไว้สูงหรือต่ำเพียงใด  ควรเพิ่มหรือลดราคาสินค้า จึงจะทำให้รายได้รวมกำไรของธุรกิจจะเพิ่มขึ้น
3.    นำมาใช้ประกอบการพยากรณ์แนวโน้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ




ที่มา  (msci.chandra.ac.th/econ/ch3elastic.doc)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น